ปัจจุบันสาวๆนิยมทำคางกันมากขึ้น เพราะการที่มีคางสวย ได้รูป จะทำให้ใบหน้าดูยาวเรียว คนที่มีปัญหาคางสั้น คางยื่น คางบุ๋ม หรือคางเบี้ยวจึงไปทำคางกันเยอะ เพราะอยากมีใบหน้าที่สวยและเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเองนั่นเอง และเทคโนโลยีการทำคางสมัยนี้ก็พัฒนาก้าวหน้าไปมาก ไม่ต้องดมยาสลบเหมือนแต่ก่อน ก็มีคางที่สวยได้แล้ว จึงไม่แปลกที่มีสาวๆอยากจะไปทำคางกันมากขึ้นกว่าในอดีต
เพื่อเป็นข้อมูลให้แก่สาวๆที่คิดอยากจะไปทำคาง วันนี้เราจึงได้นำความรู้เกี่ยวกับการทำคางมาฝากสาวๆกัน ว่าการทำคางมีแบบไหนกันบ้าง ข้อดี – ข้อเสียของการทำคาง พร้อมกับการดูแลตัวเองก่อน-หลังการทำคางที่สาวๆควรรู้ สาวๆคนไหนที่กำลังมีแพลนจะไปทำคางอยู่ ห้ามพลาดที่จะอ่านเด็ดขาดเลยนะคะ
ทำคางแบบไหนดี?
การทำคางในโรงพยาบาลและคลินิกเสริมความงามทั่วไป มีอยู่ 2 แบบ คือ การฉีดไขมันที่คาง หรือใช้สารฟิลเลอร์ แต่วิธีนี้จะอยู่ได้ไม่นาน เพราะไขมันและสารฟิลเลอร์จะค่อยๆภายไปในระยะเวลา 3 – 5 ปี การทำคางด้วยซิลิโคน เป็นการผ่าตัดเล็ก จะใช้ซิลิโคนตัวเดียวกับที่ใช้ทำจมูก มาเหลาปรับทรงให้ได้ตามที่ต้องการ แล้วนำมาใส่บริเวณคาง ซึ่งการทำคางด้วยซิลิโคน ก็แบ่งเป็น 2 แบบ ดังนี้
ภาพจาก gamesgrandmasterclinic.blogspot.com
1.การทำคางจากด้านนอกช่องปาก
วิธีนี้เป็นการผ่าตัดเปิดแผลบริเวณใต้คาง ยาวประมาณ 2 ซม. แพทย์จะปรับรูปคางได้หลายองศาและวางซิลิโคนได้อย่างแม่นยำ ชัดเจน รวมถึงตกแต่งผิวหนังส่วนเกินใต้คางได้ ลดโอกาสที่คางบิดเบี้ยวได้ดี ข้อดีของการทำคางแบบนี้คือ แผลจะมีขนาดเล็ก บวมน้อย พักฟื้นไม่นาน ที่สำคัญคือดูแลง่าย ข้อเสียคืออาจทำให้เป็นแผลเป็นได้ ซึ่งถ้าเป็นแล้วต้องใช้เวลา 1 – 3 เดือนกว่ารอยแผลจะหาย แต่หากทายาลดรอยแผลเป็นก็จะช่วยให้หายเร็วขึ้นค่ะ
2. การทำคางจากด้านในช่องปาก
ภาพจาก gamesgrandmasterclinic.blogspot.com
เป็นการผ่าตัดตรงบริเวณเหงือกด้านในกับริมฝีปากล่าง ให้มีความยาว 2 ซม. หรือขึ้นอยู่กับขนาดของซิลิโคน จากนั้นแพทย์จะผ่าแยกเยื่อหุ้มบริเวณขอบล่างของคางออก แล้ววางแท่งซิลิโคนเข้าไปในตำแหน่งที่ต้องการแบบพอดี จากนั้นก็เย็บปิดแผลด้วยไหมละลาย การทำคางจากด้านในช่องปากได้รับความนิยมสูง เพราะมันจะไม่เห็นแผลเป็นภายนอกที่เกิดจากการผ่าตัด เหมาะมากกับคนที่เป็นแผลเป็นนูนง่าย (คีลอยด์) ข้อเสียคือหลังการผ่าตัดต้องดูแลแผลในปากเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันแผลติดเชื้อจากน้ำลายหรือเศษอาหาร รวมถึงระวังไม่ให้คางกระแทกจนซิลิโคนเคลื่อนผิดตำแหน่งค่ะ
การดูแลตัวเองสำหรับการทำคางทั้ง ก่อนทำ และ หลังทำ
ภาพจาก bangmodaesthetic.com
การดูแลตัวเองก่อนการทำคาง
- งดวิตามินอาหารเสริม ยาสมุนไพรทุกประเภทไปก่อน
- งดสูบบุหรี่ก่อนการผ่าตัดประมาณ 1 สัปดาห์
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนการผ่าตัดประมาณ 1 สัปดาห์
- หากมีโรคประจำตัวหรือประวัติการรักษา ให้แจ้งแพทย์ทันที
การดูแลตัวเองหลังการทำคาง
- หลังการผ่าตัดจะมีอาการบวม ดังนั้นให้ประคบเย็นอย่างน้อย 48 ชั่วโมง และอาการบวมจะค่อยๆหายไปเองประมาณ 2 สัปดาห์ค่ะ
- หมั่นบ้วนปากด้วยน้ำสะอาด น้ำเกลือ หรือน้ำยาบ้วนปาก ทุก 2 – 3 ชั่วโมงหลังการทานอาหาร เพื่อเป็นการรักษาความสะอาดภายในช่องปากค่ะ
- ทานอาหารที่เคี้ยวง่าย หลีกเลี่ยงการขยับปากในช่วงแรกไปก่อน
- หลังการผ่าตัดช่วง 2 สัปดาห์แรก ให้งดกิจกรรมที่จะเสี่ยงต่อการกระทบกระเทือนแก่คาง เช่น การวิ่งหรือกระโดด และห้ามเท้าคางเด็ดขาด
- เวลานอนให้นอนหงาย และหนุนหมอนสูงๆ เพื่อลดอาการบวมและเลือดคั่งในช่วงระยะเวลาแรกของการผ่าตัดค่ะ
- ดื่มน้ำให้มากๆ ควรใช้หลอดดูดด้วยเพื่อลดการขยับคาง และป้องกันเศษอาหารตกลงไปในบริเวณแผล
- ไม่ทานอาหารรสจัด อาหารร้อน หรืออาหารหมักดอง อาหารที่ต้องใช้แรงเคี้ยวเยอะๆก็ให้งดเหมือนกัน เช่น หมูกระทะ รวมถึงของสุกๆดิบๆด้วย เพราะอาจทำอันตรายต่อแผล ทำให้แผลติดเชื้อได้
- ไม่สูบบุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดสูบฉีดขึ้นใบหน้ามาก เพราะจะทำให้หน้าบวมได้ค่ะ
- หลีกเลี่ยงการก้มหน้ามากๆ เช่น การเล่นคอมพิวเตอร์ เล่นสมาร์ทโฟน อ่านหนังสือ ยกของหนัก ส่ายหน้าหรือเอียงหน้าแรงๆ โดยเฉพาะใน 2 สัปดาห์แรก
- ทานยาตามที่แพทย์สั่ง พร้อมดูแลแผลอย่างเคร่งครัด ก็จะทำให้แผลหายเร็วและดีขึ้น
- ไปตามนัดที่หมอนัดไว้ ห้ามแกะพลาสเตอร์หรือไหมออกเองก่อนกำหนด
- หากมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที อย่าปล่อยทิ้งไว้หรือเพิกเฉยค่ะ
เมื่อได้รู้วิธีการทำคาง และการดูแลตัวเองก่อน – หลังการทำคางแล้ว เตรียมเงินสำหรับทำคางไว้เพียงพอแล้ว ต่อไปก็เป็นสิ่งที่สาวๆควรพิจารณาให้รอบคอบมากที่สุดก็คือการหาโรงพยาบาลหรือคลินิกเสริมความงาม แนะนำว่าให้ดูรีวิวคนที่ไปทำคางที่โรงพยาบาลหรือคลินิกเสริมความงามที่ต้องการไปทำให้เยอะๆ และเลือกสถาบันเสริมความงามที่น่าเชื่อถือ และมีชื่อเสียง เพื่อความปลอดภัยของตัวเราค่ะ