ทำตาแบบไหนดี

ทำตาแบบไหนดี พร้อมข้อดี ข้อเสีย การดูแลตัวเองหลังการทำตา

ดูเหมือนว่าการทำตาจะมีกระแสขึ้นมาเรื่อยๆในทุกๆปี นี้อาจจะเป็นคำตอบของคำถามที่ว่า “ทำตาแบบไหนดี” โดยเฉพาะการทำตาสองชั้น ถึงแม้ว่าหนุ่มๆจะชอบแบบตาเล็กๆ หมวยๆ แต่ยังไงก็สู้สาวตาสองชั้นไม่ได้อยู่ดี  ดังที่เห็นจากสาวๆพากันไปทำตาสองชั้นกันเยอะมาก อาจเป็นเพราะมีเทคโนโลยีสมัยใหม่และวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ก้าวล้ำไปไกล จึงทำให้การทำตาสองชั้นในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องที่ยากอีกต่อไป

สำหรับสาวๆที่ยังไม่รู้ว่าการทำตามีกี่แบบ และต้องการศึกษาให้รอบคอบก่อนไปทำตา วันนี้เราก็จะมาไขข้อสงสัยให้กับสาวๆ พร้อมข้อดี ข้อเสียของการทำตาแต่ละแบบ และการดูแลตัวเองหลังการทำตา ว่าแล้ว เราไปศึกษาพร้อมกันเลยค่ะ

ทำตาแบบไหนดี?

วิธีการทำตา

ภาพจาก HonestDocs

ปัจจุบันการทำตามีวิธีทำให้เลือกอยู่ 5 แบบ ซึ่งเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเปลือกตาแบบต่างๆ ดังนี้

1 วิธีกรีดหนังตา

วิธีเหมาะกับสาวๆที่มีเนื้อบริเวณหนังตามากหรือมีไขมันใต้เปลือกตาเยอะ วิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมกันมากที่สุด โดยแพทย์จะทำการกำหนดชั้นตาที่สวยเหมาะกับรูปตาของสาวๆแต่ละคน แล้วใช้มีดผ่าตัดกรีดเปิดหนังตาตั้งแต่บริเวณหัวตาไปถึงหางตา รวมถึงตัดหนังตาหรือไขมันออกบางส่วน จากนั้นก็เย็บแผลที่กรีดออกให้ติดกัน ดวงตาก็จะดูโตขึ้น เนื่องจากเปลือกตาถูกยกขึ้นสูงกว่าเดิมประมาณ 1 – 2 มิลลิเมตร วิธีกรีดหนังตามีข้อดีคือจะไม่เห็นรอยแผลเป็น เพราะรอยแผลเป็นจะซ่อนอยู่ในเปลือกตา

2 วิธีเย็บชั้นตา

โดยไม่ต้องกรีดหนังตา  เหมาะกับสาวๆที่มีตาชั้นเดียว มีไขมันบริเวณเปลือกตาไม่มาก และมีหนังตาที่ไม่ตกหย่อนมากเกินไป แพทย์จะใช้วิธีเจาะเปลือกตาให้เป็นรูโดยไม่ต้องกรีดตาให้เป็นแผลยาว แล้วทำการเย็บปมไหมไปตามแนวเส้นที่ได้กำหนดไว้ประมาณ 1 – 4 จุดขึ้นไป ข้อดีของวิธีเย็บชั้นตาแบบนี้คือจะมีอาการช้ำบวมเพียงเล็กน้อย ไม่ต้องพักฟื้น ออกไปทำกิจกรรมได้ทันที ผ่านไป 1 เดือน แผลก็จะเริ่มยุบตัวและเปลือกตาก็จะเข้าที่เป็นตาสองชั้นสวยงาม

3 วิธีเย็บเปลือกตาด้านใน

วิธีนี้แพทย์จะกำหนดความสูงของชั้นตาให้เหมาะสมกับแต่ละคน และวัดปริมาณของหนังตาที่จะตัดออก แล้วทำการผ่าตัดหนังตาบนออกไปพร้อมๆกับนำเอาไขมันบางส่วน จากนั้นก็เย็บเปลือกตาให้ติดกับกล้ามเนื้อตามแนวชั้นตาของแต่ละคน วิธีเหมาะกับคนสูงวัยที่มีหนังตาเยอะหรือหนังตาบนตกมาก จะช่วยลดปัญหาตาตก ดวงตาก็จะดูกลมโตสดใสและสวยชัดยิ่งขึ้น แต่ข้อเสียคือจะอยู่ได้นานแค่   1 – 2 ปีเท่านั้น จากนั้นชั้นตาก็จะหลุดหรือย่อนคล้อยลงมาเหมือนเดิม

4 วิธีการดูดไขมัน

เป็นวิธีที่เจ็บตัวน้อยกว่าวิธีอื่น แพทย์จะใช้เทคนิคเจาะรูเล็กๆเข้าไปที่เปลือกตาบนประมาณ 4 – 5 มิลลิเมตร เพื่อเอาไขมันส่วนเกินออก จากนั้นก็ทำการเย็บหนังตาบนกับกล้ามเนื้อตา ทำให้เกิดเป็นตาสองชั้น ข้อดีของวิธีการดูดไขมันคือไม่เกิดรอยแผลเป็นและไม่เกิดอาการบวมช้ำบริเวณหนังตา เหมาะมากกับสาวๆที่ตามีไขมันมากหรือเนื้อตาที่ค่อนข้างเยอะ และต้องการทำตาสองชั้นให้ออกมาดูเป็นธรรมชาติค่ะ

5 วิธีเลเซอร์

วิธีนี้มีลักษณะคล้ายกับวิธีกรีดหนังตาด้วยมีดผ่าตัด แต่การใช้เครื่องมือเลเซอร์ช่วยลดการกระทบกระเทือนได้น้อยกว่า และลดอาการบวมอักเสบหลังการผ่าตัดได้น้อยกว่าน้ำหนักมือและมีดผ่าตัด นอกจากนี้วิธีเลเซอร์ยังมีส่วนช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้เปลือกตาดูสดใส เรียบเนียน และตึงกระชับมากยิ่งขึ้น

การดูแลตัวเองหลังการทำตา

การดูแลหลังทำตา

ภาพจาก Ametise Clinic

1 หลังการผ่าตัด 1 – 2 วันแรก อาจมีเลือดซึมได้ ไม่ต้องตกใจไป ให้ประคบเย็นบริเวณดวงตาและหน้าผาก เพื่อทำให้หลอดเลือดหดตัว ลดอาการเลือดออกและอาการบวมค่ะ

2 วันที่ 3 – 5 ก็ให้ประคบด้วยน้ำอุ่น เพื่อลดอาการบวม

3 ไม่ควรให้แผลโดนน้ำ หลังการผ่าตัด 3 วัน หากจะล้างหน้าก็ให้ใช้สำลีหรือผ้ามาเช็ดทำความสะอาดแทน แต่หากไม่มีแผลเลย ก็สามารถล้างหน้าได้ตามปกติค่ะ

4 ทานยาตามที่แพทย์สั่งและไปพบแพทย์ตามนัด

5 สัปดาห์แรกให้หนุนหมอนสูงๆ เพื่อลดอาการบวมของแผล ไม่ควรนอนคว่ำ และไม่ควรขยี้ตาในช่วง 6 เดือนแรก เพราะจะทำให้ชั้นตาที่เย็บหลุดหรือไม่เท่ากันได้

6 งดการใช้สายตามากในช่วง 7 วันแรก และหลีกเลี่ยงการใส่คอนแทคเลนส์ไปก่อน ให้สวมใส่แว่นตาแทน

7 ไม่ทานอาหารรสจัด ของหมักดอง ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดสูบฉีดขึ้นใบหน้ามาก จะทำให้หน้าบวมได้

8 สาวๆบางคนอาจมีขี้ตามากกว่าปกติ หรือรู้สึกตึงหนังตาบนมาก ก็ไม่ต้องตกใจไป เพราะอาการเหล่านี้จะหายไปเองภายใน 2 – 3 สัปดาห์ค่ะ

เอาเป็นว่าสาวๆคนไหนที่อยากไปทำตาสองชั้นก็ศึกษาการทำตาให้ดีก่อนนะคะ แต่สิ่งสำคัญเลยคือการเลือกสถาบันเสริมความงาม ให้เลือกสถาบันที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทำให้ และได้รับมาตรฐาน ปลอดภัย น่าเชื่อถือ เพื่อป้องกันปัญหาการกลับมาแก้ไขทำตาใหม่ในภายหลังและเป็นการเสียเงินโดยใช่เหตุด้วยค่ะ

ขอบคุณที่มาภาพ : bestfreephotos.eu