ซิฟิลิส

ซิฟิลิส คืออะไร เป็นแล้วรักษาให้หายได้หรือไม่

เดี๋ยวนี้วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์กันเยอะมาก และอัตราอายุที่เริ่มมีเพศสัมพันธ์ก็น้อยลงขึ้นทุกปี แต่ที่น่ากลัวกว่าการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรก็คือการเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆนี่แหละ ดังจะเห็นได้จากเด็กบางคนที่แปปๆก็เปลี่ยนแฟนอีกละ ทำเอาผู้ใหญ่อย่างเราต้องตกใจกันเลย แต่ก็นั่นแหละ การเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆก็มักจะมากับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ร้ายแรงด้วยเหมือนกัน ดังเช่นโรคซิฟิลิสที่เราคงเคยได้ยินกันมาบ้าง จากละครดังทางช่อง 3 เมื่อนานมาแล้วเรื่องทองเนื้อเก้า ที่ลำยองนางเอกของเรื่องได้มีการเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ จนในที่สุดก็เป็นโรคซิฟิลิส และโรคนี้ก็ได้หวนกลับมาระบาดหนักอีกครั้งในหมู่วัยรุ่น ช่วงประมาณวัยมัธยมถึงวัยมหาลัย

ในละครเราเห็นลำยองตายเพราะโรคนี้ แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์ก็พัฒนาไปมาก โรคนี้จึงไม่ค่อยน่ากลัวเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่เราก็ควรจะรู้จักป้องกันตัวเองโดยการมาทำความรู้จักกับโรคซิฟิลิสนี้กัน ว่าโรคนี้ติดต่อกันทางไหนได้บ้าง อาการเป็นอย่างไร และหากเป็นแล้วจะรักษาให้หายขาดได้หรือไม่ มาอ่านกันค่ะ

โรคซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema Pallidum โรคนี้น่ากลัวตรงที่เชื้อจะไม่แสดงอาการออกมาให้เห็นชัด แต่ติดต่อกันได้และเป็นเรื้อรังนานเกิน 2 ปี เมื่อรักษาหายแล้ว ก็มีโอกาสกลับมาเป็นได้อีก 

ซิฟิลิสติดต่อกันทางไหนได้บ้าง?

เราสามารถรับเชื้อซิฟิลิสได้ 3 ทาง คือ

  1. ทางเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด หรือทวารหนัก
  2. ผ่านการสัมผัสแผลที่มีเชื้อ โดยผ่านทางผิวหนัง เยื่อบุตา ปาก
  3. จากแม่สู่ลูก หากแม่ป่วยเป็นซิฟิลิส ทารกในครรภ์จะมีโอกาสเป็นได้ เราเรียกเด็กที่เป็นซิฟิลิสจากสาเหตุนี้ว่า “ซิฟิลิสแต่กำเนิด (Congenital Syphilis)” อาการจะแสดงออกมาหลังคลอดประมาณ 3 – 8 สัปดาห์ และมีอาการเล็กน้อย เช่น มีตุ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่จะมาออกอาการให้เห็นมากตอนโต ซึ่งก็เป็นระยะที่ 4 แล้ว หรือบางคนก็อาจแสดงอาการพิการออกมาให้เห็นชัด

อาการของซิฟิลิส

อาการของซิฟิลิส

โรคนี้ส่วนมากจะพบในเพศชาย อาการก็มีหลายแบบด้วยกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะของโรค แบ่งได้ 4 ระยะ ดังนี้

ระยะที่ 1 Primary Syphilis

เชื้อซิฟิลิสเข้าทางเยื่อบุ รอยถลอกหรือรอยแผลที่ผิวหนัง มักพบในอวัยวะเพศชาย อัณฑะ ทวารหนัก ช่องคลอด ริมฝีกปาก จะเป็นแผลเดียว เป็นแผลริมแข็ง คือมีขอบนูนแข็ง แต่ไม่เจ็บ ดูสะอาด ต่อมน้ำเหลืองโต จากนั้นอีก 10 – 90 วัน จะเกิดตุ่มแดงแตกเป็นแผลที่อวัยวะเพศ ตรงบริเวณที่เชื้อเข้า แผลที่เห็นจะเป็นอยู่ประมาณ 1 – 5 สัปดาห์ แล้วจะหายไปเอง ถึงแผลจะหาย แต่เชื้อยังอยู่ หากคนไข้ที่เป็นโรคเอดส์ก่อนหน้าที่จะเป็นซิฟิลิส แผลก็จะมีขนาดใหญ่ กดแล้วจะเจ็บมาก

ระยะที่ 2 Secondary Syphilis

หากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะแรก ปล่อยให้ล่วงเลยมา 6 – 8 สัปดาห์ ซิฟิลิสก็จะเข้าสู่ระยะที่ 2 ระยะนี้เชื้อจะกระจายไปตามกระแสเลือด ทำให้เป็นไข้ ปวดศีรษะ เมื่อยตาข้อ เนื่องจากข้ออักเสบ นอกจากนี้ยังมีอาการผมร่วงเป็นหย่อมๆ มีผื่นสีแดงน้ำตาลขึ้นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า อาจจะพบได้ทั่วตัว แต่จะไม่คัน รวมถึงอาจพบผื่นสีเทาในปาก คอ และปากมดลูก ทั้งยังอาจพบหูด Condylomata lata ในบริเวณอับชื้นอย่างรักแร้ ขาหนีบ ทวารหนัก ระยะนี้อาจเรียกได้ว่า ระยะเข้าข้อหรือออกดอก ซึ่งระยะนี้จะมีอาการอยู่ 1 – 3 เดือน แล้วจะหายไปเอง โอกาสที่จะกลับมาเป็นซ้ำเหมือนเดิมก็มีอยู่

ระยะที่ 3 ระยะแฝง Latent Stage

ระยะนี้จะกินเวลาหลายปี และเป็นระยะที่ไม่แสดงอาการใดๆออกมา แต่อาจจะมีผื่นขึ้นเหมือนระยะที่ 2 ฉะนั้นการเจาะเลือดไปตรวจเป็นทางเดียวที่จะตรวจสอบได้ว่าเป็นซิฟิลิสหรือไม่ หากผู้หญิงมีการตั้งครรภ์ในระยะนี้ เชื้อซิฟิลิสก็จะถ่ายทอดไปสู่ลูกในครรภ์ได้

ระยะที่ 4 Late Stage (Tertiary)

ระยะนี้กินเวลา 2 – 30 ปีหลังได้รับเชื้อ โดยเชื้อจะเข้าไปทำลายอวัยวะต่างๆภายใน ทำให้เกิดความผิดปกติขึ้น เช่น ซิฟิลิสระบบหัวใจและหลอดเลือด ซิฟิลิสระบบประสาท อาจทำให้ตาบอด หูหนวก กระดูกหักได้ง่าย หากรักษาไม่ทัน อวัยวะต่างๆทั้งสมอง หัวใจ ไขสันหลัง จะถูกทำลายจนไม่อาจกลับมาเป็นปกติได้ ส่วนเด็กในครรภ์ที่ได้รับเชื้อจากแม่มาอีกที ก็จะมีอาการผิดปกติ พิการ เสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์ หรือเสียชีวิตหลังคลอดได้

การรักษาซิฟิลิส

การรักษา

หากพบว่าตัวเองเป็นโรคซิฟิลิสจริงก็ไม่ต้องตกใจไป เพราะหากตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกๆ ก็สามารถรักษาให้หายได้ โดยการฉีดยาเพนิซิลลินเข้ากล้ามเนื้อ หรือหมออาจให้ยาเตตราไซคลีนมาทาน เป็นเวลา 1 – 3 สัปดาห์  ทั้งนี้ระยะเวลารักษาก็ขึ้นอยู่กับระยะของโรคด้วย หากผู้ป่วยมีคู่สมรสก็ควรมารักษาคู่กัน แต่ถึงแม้ว่าจะรักษาให้หายได้ ก็ควรกลับมาตรวจซ้ำอีกครั้งในช่วงแรกทุกๆ 3 เดือนจนครบ 3 ปี เพราะอาจมีเชื้อแอบแฝงอยู่ และแน่ใจด้วยว่าหายขาดจากโรคนี้แล้วจริงๆ ทั้งนี้ระหว่างการรักษา ก็ให้ปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด งดการมีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันเชื้อหลามไปสู่คนอื่น

การป้องกัน

สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ และไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย หากจะแต่งงานก็ต้องไปตรวจเลือดกันก่อน เผื่อพบว่าติดเชื้อจะได้รักษาทัน

สาวๆคนไหนที่กำลังกังวลว่าตัวเองจะเป็นโรคซิฟิลิสอยู่หรือเปล่า ทางที่ดีก็ให้ไปตรวจเลือดดูจะดีกว่าค่ะ เพื่อจะได้รักษาทัน ก่อนจะสายเกินไป

ที่มา: https://www.mplusthailand.com https://www.honestdocs.co