รู้จักสิวแต่ละชนิดกัน พร้อมวิธีการรักษาสิวแบบธรรมชาติ

สิวมีหลายประเภท ฉะนั้นก่อนที่เราจะไปทำการรักษาสิวนั้น เราก็ต้องมารู้จักสิวแต่ละชนิดกันเสียก่อน เพื่อที่จะได้ไปรักษาได้ถูกวิธี แล้วสิวก็จะหายเร็วขึ้นด้วย งั้นเรามาดูกันเลยดีกว่าค่ะว่าสิวมีกี่ชนิด อะไรบ้าง พร้อมกับวิธีการรักษาสิวแบบธรรมชาติกัน

สิวแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ สิวอักเสบ และสิวไม่อักเสบ สิวอักเสบ ก็จะมีสิวหัวหนอง สิวตุ่มแดงและสิวถุงขนาดใหญ่ใต้ผิวหนัง สาเหตุเกิดจากการที่สิวอักเสบมาจากรูขุมขนที่อุดตันอยู่ก่อน แล้วไปติดเชื้อแบคทีเรีย ส่วนสิวที่ไม่อักเสบ จะมีสิวหัวขาวและสิวหัวดำ สาเหตุก็มาจากสิ่งสกปรกนั่นแหละค่ะ เราไปทำความรู้จักกับสิวให้มากกว่านี้ดีกว่า

สิวหัวขาว (Whitehead Acne)

เป็นสิวอุดตันชนิดหนึ่งมีลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็กๆ มีสีขาวหรือสีที่ใกล้เคียงกับผิวหนัง สิวจะไม่มีรูเปิด จึงทำให้ดันผิวจนนูนขึ้นมา หากใช้มือลูบดูจะรู้สึกเหมือนมีไตก้อนเล็กๆ บีบออกยาก เพราะรากสิวลึก หากปล่อยทิ้งไว้นานๆ สิวจะขยายใหญ่ขึ้นและมีโอกาสที่จะกลายเป็นสิวอักเสบชนิดต่างๆได้สูง

สิวหัวดำ (Blackhead Acne)

เป็นสิวอุดตันชนิดหนึ่งมีลักษณะเป็นจุดสีดำๆ บางครั้งก็มีอาการนูนขึ้นจากผิวหนังเล็กน้อย มีรูเปิดออกจนเห็นหัวสิว มองเห็นจุดสีดำอยู่ตรงกลาง สาเหตุเกิดจากสิวหัวขาวไปสัมผัสกับอากาศภายนอกจนกลายเป็นสีดำ ก็เลยกลายเป็นสิวหัวดำนั่นเอง

สิวตุ่มแดง (Papule)

เป็นสิวอักเสบชนิดหนึ่ง มีขนาดเล็ก ไม่เกิน 0.5 เซนติเมตร มักมีอาการเจ็บปวด ส่วนมากสิวชนิดนี้เป็นสิวอักเสบ ในระยะแรกที่พัฒนามาจากสิวอุดตัน เกิดขึ้นหลังจากเมื่อรูขุมขนเริ่มอุดตันแล้ว แต่น้ำมันจากต่อมไขมันยังถูกผลิตขึ้นอยู่เรื่อยๆ จึงทำให้สิวอุดตันใต้ชั้นผิวหนัง มีขนาดใหญ่ขึ้น จนผนังของรูขุมขนที่อุดตันนั้นแตกออก ทำให้น้ำมัน เซลล์ผิวที่ตายแล้วและเชื้อแบคทีเรียกระจายไปสู่ผิวหนังรอบๆ

สิวหัวหนอง (Pustule)

มีลักษณะเป็นตุ่มหนองสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน นูนขึ้นมาบนผิวหนัง และมีสีแดงอยู่บริเวณรอบๆ สิวหัวหนองพัฒนามาจากสิวชนิดตุ่มนูนแดง ที่ไม่ได้รักษาอย่างถูกต้อง และเกิดการติดเชื้อขึ้นที่บริเวณหัวสิว

สิวอักเสบแดง (Nodule Acne)

เป็นสิวที่อักเสบอยู่ใต้ผิวหนัง ลักษณะเป็นตุ่มสีแดงขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาตรงผิวหนังชั้นบน จับดูจะเป็นไตแข็งๆและรู้สึกเจ็บ เกิดจากการที่แบคทีเรียและน้ำมันในตุ่มสิวแตกกระจายอยู่ใต้  ผิวหนัง สิวแบบนี้จะใช้เวลานานกว่าจะหาย เมื่อหายอาจจะเกิดเป็นแผลเป็นได้

สิวเป็นถุงขนาดใหญ่ใต้ผิวหนัง (Cyst Acne)

สิวจะมีลักษณะเป็นตุ่มใหญ่ เต็มไปด้วยหนอง บวม แดงและรู้สึกเจ็บปวดมาก เกิดจากการอักเสบของสิวที่อยู่ลึกลงไปใต้ชั้นผิวหนัง และเกิดหนองขึ้นจนกลายเป็นก้อนซีสต์ขนาดใหญ่ สิวชนิดนี้เป็นสิวอักเสบขั้นรุนแรงที่พบได้ไม่บ่อยนักค่ะ

รักษาสิวแบบธรรมชาติ

ภาพจาก https://www.kuteclub.net

วิธีการรักษาสิวแบบธรรมชาติ

1. พอกหน้าด้วยมะละกอ น้ำผึ้งและมะนาว

นำมะละกอสุกมาบดให้ละเอียด จากนั้นผสมน้ำผึ้ง มะนาวอย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ คลุกให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาพอกหน้าประมาณ 10 – 15 นาที แล้วล้างออก สูตรนี้จะช่วยรักษาสิวอักเสบและลดรอยแดงได้

2. พอกหน้าด้วยดินสอพอง ผงขมิ้นชันและน้ำผึ้ง

นำดินสอพองมาบดละลายกับน้ำ ผสมผงขมิ้นชัน น้ำผึ้ง จากนั้นคนให้เป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกหน้าไว้ประมาณ 15 – 20 นาที แล้วล้างหน้าให้สะอาด ทำสูตรนี้เป็นประจำจะทำให้สิวอักเสบยุบลง แผลสิวก็จะค่อยๆแห้งและหายไปในที่สุด

3. พอกหน้าด้วยแตงกวา

นำแตงกวาไปปอกเปลือกแล้วสับเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นนำไปแช่ตู้เย็นไว้ เมื่อเย็นได้ที่แล้วก็เอามาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ขั้นตอนสุดท้ายก็ล้างหน้าให้สะอาด วิธีนี้จะช่วยลดสิวอักเสบและลดความมันบนใบหน้า ที่เป็นต้นเหตุของการเกิดสิวค่ะ

4. ทาหน้าด้วยหอมแดง

ให้ปอกเปลือกหอมแดงแล้วนำมาฝานเป็นแว่นๆ จากนั้นทุบออกเล็กน้อยเพื่อให้น้ำหอมแดงออก แล้วนำหอมแดงมาทาตรงที่เป็นสิว ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างหน้าให้สะอาด การทำแบบนี้จะทำให้สิวอักเสบยุบและรอยดำรอยแดงจากสิวจางลง ทั้งยังช่วยยับยั้งแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวใหม่ด้วยค่ะ

5. มาร์กหน้าด้วยไข่ขาว

เอาสำลีไปชุบกับไข่ขาว แล้วนำมาโปะให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบดวงตาและริมฝีปากไว้ ทิ้งไว้ 10 – 15 นาที แล้วค่อยๆลอกออก จากนั้นก็ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น เป็นการช่วยกำจัดสิวเสี้ยนและสิวอุดตันได้ดีค่ะ

6. นำมะนาวมาทาหน้า

ให้บีบน้ำมะนาวสดๆลงในถ้วย ผสมน้ำอุ่นลงไปเล็กน้อย แล้วนำสำลีมาชุบน้ำมะนาว จากนั้นนำมาทาทิ้งไว้ที่ใบหน้า โดยไม่ต้องล้างออก ก็จะช่วยให้สิวแห้งและยุบตัวเร็ว ทั้งยังช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวด้วยค่ะ

เมื่อเรารู้จักสิวแต่ละชนิดแล้ว เราก็จะรักษามันได้อย่างถูกวิธีและสิวก็จะหายเร็วขึ้น ถึงแม้ว่าการรักษาสิวด้วยวิธีธรรมชาติที่เราแนะนำกันนี้ จะเห็นผลช้ากว่าการไปรักษาตามคลินิกเสริมความงาม แต่ก็ได้ผลเหมือนกัน แถมยังช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าเราไปได้เยอะอีกด้วย