ณ เวลานี้ ข่าวที่ทุกคนให้ความสนใจและสะเทือนใจกันมากที่สุดสำหรับคนมีลูกคงหนีไม่พ้นข่าวที่ครูจุ๋ม ครูโรงเรียนอนุบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง ย่านนนทบุรี ได้ทำร้ายเด็กๆทั้งทุบตี ตบหัว กระชากแขนเด็ก ผลักให้เด็กล้มลงจนหัวเด็กไปฟาดกับกำแพง บิดหูเด็ก และอีกสารพัดวิธีจนเด็กร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด โดยมีครูคนอื่นๆยืนมองเหตุการณ์อยู่ด้วย โดยไม่เข้าไปห้ามปราม ช่วยเหลือเด็ก หรือแสดงท่าทีตกใจแต่อย่างใด ซึ่งเหตุการณ์นี้สร้างความตกใจให้กับพ่อ แม่ ผู้ปกครองของเด็กๆเป็นอย่างมาก จนต้องมีการรวมตัวกันแจ้งความ และไม่ยอมความครูจุ๋มกัน
เหตุการณ์นี้ทำให้คิดถึงตอนที่ตัวเองเป็นเด็ก มีครูคนหนึ่งจะชอบดูถูกเด็กทั้งที่เด็กไม่ได้ทำอะไรให้เลย โดยครูจะชอบด่า ชอบว่า เหมือนกับว่าตัวเองนั้นถูกเสมอ โดยที่ตัวเองเป็นเด็กจึงไม่โต้เถียง ปล่อยให้ครูพล่ามของครูไป เราก็ฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา แต่พอครูได้ตีก็จะชอบตีที่กลางหลัง จนบางครั้งแทบจุกเพราะมันเจ็บมาก ด้วยความที่ครูเป็นคนตัวใหญ่ จึงใส่พลังมาเต็มที่ ดีที่หลังไม่หัก และดีที่ตอนนั้นไม่มีโซเชียล ไม่มีกล้องวงจรปิดเหมือนในตอนนี้ ไม่อย่างนั้นครูคนนี้อาจจะเป็นข่าวเหมือนครูจุ๋มขึ้นมาก็ได้
โดยครูจุ๋มเองได้กล่าวว่า การที่เธอทำแบบนี้เพราะเป็นการลงโทษเด็กที่เด็กไม่เชื่อฟัง จริงๆแล้วการลงโทษอยู่คู่ครอบครัวไทยและโรงเรียนไทยมานาน แต่การลงโทษต้องเป็นการลงโทษที่ไม่รุนแรงจนเกินไป ที่จะไม่ส่งผลเสียทางร่างกายและจิตใจของเด็ก ไม่ใช่การละเมิดสิทธิเด็กแบบนี้ โดยเด็กที่เป็นเหยื่อของความรุนแรงอาจมีภาวะไม่มั่นคงทางจิตใจ รู้สึกไม่ปลอดภัย จนนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิต มีภาวะทางอารมณ์ หดหู่ สิ้นหวัง วิตกกังวล แยกตัวออกจากสังคม มีความผิดปกติในการนอนและการรับประทานอาหาร และอื่นๆอีกมาก ซึ่งอาจส่งผลต่อการพัฒนาทางกายต่อไปด้วย การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของความรุนแรงต่อเด็กชี้ให้เห็นว่า เมื่อเด็กประสบเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียดรุนแรง เช่น เมื่อเผชิญกับความรุนแรง การถูกละเมิด การถูกละเลย หรือต้องเผชิญความหิวโหย ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียดออกมาในระดับสูง ซึ่งฮอร์โมนนี้จะไปขัดขวางกระบวนการพัฒนาทางสมองโดยจำกัดการขยายตัว หรือการแตกแขนงของเซลล์ต่างๆในสมอง อีกทั้งยังส่งผลร้ายต่อสุขภาพ การเรียนรู้ และพฤติกรรมของเด็ก
น่าแปลกที่ข่าวความรุนแรงของครูที่มีต่อเด็กมีให้เห็นแทบทุกวัน จนคิดไปว่าครูบางคนลืมเรื่องบทบาทของครูและโรงเรียนในการปกป้องคุ้มครองเด็กไปแล้วหรอ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กระบุว่า เด็กทุกคนต้องมีสิทธิในการได้รับการเรียนรู้ ได้พัฒนาตัวเองอย่างสมวัย และเติบโตเต็มศักยภาพ ครูมีหน้าที่สำคัญในการทำให้โรงเรียนเป็นสถานที่ที่เรียนรู้ของเด็ก และมีหน้าที่รับผิดชอบต่อการปกป้องคุ้มครองนักเรียน ดังนั้น เมื่อนักเรียนมีปัญหาต่างๆ ครูต้องช่วยเหลือและแก้ปัญหาให้เด็กอย่างทันท่วงที เพราะมันจะเป็นรากฐานสำคัญของความเคารพที่นักเรียนจะมีต่อครูอย่างแท้จริง ไม่ใช่การใช้อำนาจและความรุนแรงที่ทำให้เกิดความหวาดกลัว
ที่น่าแปลกใจกว่าเมื่อดูข่าวมากขึ้น ก็คือการที่ครูจุ๋มเรียนจบแค่ชั้นม.6 เท่านั้นก็เข้าไปเป็นครูสอนระดับชั้นอนุบาลได้แล้ว โดยไม่ได้เรียนจิตวิทยาแห่งการเป็นครูมา ซึ่งมันเป็นสิ่งสำคัญมากในการใช้ประยุกต์ในการสอนเด็กเล็ก ทำไมผู้อำนวยการโรงเรียนถึงกล้ารับ เพราะค่าเทอมๆหนึ่งก็แพงมากหลายหมื่นบาท แต่ดันเอาคนที่จบชั้นม.6 มาเป็นครู ตรงนี้เดาว่าอาจจะเป็นเพราะต้องการตัดเรื่องงบประมาณในการจ้างงานหรือเปล่า เพราะถ้าเอาคนจบปริญญาตรี วุฒิครูมา ค่าจ้างก็ต้องแพงขึ้น มันคงเป็นเรื่องของธุรกิจจริงๆ โดยไม่ได้สนใจคุณภาพชีวิตของเด็กเลย