โรคฮิตในเด็ก

7 โรคฮิตในเด็ก พร้อมวิธีการป้องกัน

ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็หนาว ดีไม่ดี ฟ้ามืดฝนตกอีกต่างหาก จึงทำให้เด็กเกิดอาการเจ็บป่วยได้ง่าย และอาการป่วยของเด็กมักจะรุนแรงและมีอาการแทรกซ้อนได้ง่ายกว่าของผู้ใหญ่ คนเป็นแม่อย่างเราเห็นลูกเจ็บป่วยก็แทบจะทรมานในจิตใจ อยากจะเจ็บป่วยแทนลูกซะเหลือเกิน เพื่อเป็นการป้องกันลูกน้อยจากโรคต่างๆ วันนี้เราก็มีโรคฮิตในเด็ก พร้อมวิธีการป้องกันมาให้คุณแม่ เพื่อที่จะได้เตรียมรับมือกับมันได้ค่ะ

1) โรคไข้เลือดออก

โรคไข้เลือดออกเป็นโรคภาวะติดเชื้อเดงกี่ ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 4 สายพันธุ์ ได้แก่ เดงกี่ 1, 2, 3 และ 4 โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค โรคนี้มักจะเกิดในช่วงหน้าร้อน เพราะเป็นช่วงที่มียุงเยอะ

อาการ

มีไข้สูง 39 – 41 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2 – 7 วัน, ปวดกระบอกตา, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ, ปวดศีรษะ, คลื่นไส้อาเจียน, เบื่ออาหาร, มีจุดเลือดออกตามผิวหนัง, เลือดกำเดาไหล และบางรายที่มีอาการรุนแรงก็จะอาเจียนเป็นเลือด

การป้องกัน

สามารถป้องกันได้โดยไม่ให้ยุงลายกัด คุณแม่ก็ควรกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงที่อยู่ตามน้ำ เช่น โอ่งน้ำ, ตุ่มน้ำ หรือหลุมที่มีน้ำขัง เปลี่ยนน้ำในแจกัน ติดตั้งมุ้งลวดกันยุง และไม่ควรให้ลูกไปเล่นนอกบ้านตอนกลางคืน

2) โรคมือ เท้า ปาก

โรคมือ เท้า ปาก เกิดจากเชื้อเอนเทอโรไวรัส และคอคซาคีไวรัส โรคนี้พบมากในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี และพบมากในช่วงฤดูร้อน การติดเชื้อสามารถรับผ่านปาก จากการปนเปื้อนเชื้อที่มือ ของเล่น น้ำ อาหาร

อาการ

มีไข้, มีผื่นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ปาก ลิ้นเหงือก และมักจะหายไปเองภายใน 7 – 10 วัน แต่ก็มีบางรายที่มีอาการแทรกซ้อนอย่างสมองอักเสบ และกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ แต่ก็เป็นกรณีที่พบได้น้อยมาก

การป้องกัน

หลีกเลี่ยงให้เด็กใกล้ชิดกับผู้ป่วย ฝึกให้เด็กล้างมือให้สะอาดก่อนหยิบจับอาหารเข้าปาก และให้ลูกทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ สะอาด ไม่มีแมลงวันตอม และดื่มน้ำที่สะอาด หากลูกป่วยเป็นโรคมือ เท้า ปาก ก็ให้ลูกหยุดเรียน 1 สัปดาห์ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่ไปสู่เด็กคนอื่นค่ะ

3) โรคอีสุกอีใส

โรคอีสุกอีใส

ภาพจาก https://medthai.com/

โรคอีสุกอีใสเกิดจากการติดเชื้อไวรัสวาริเซลลา-ซอสเตอร์ พบมากในเด็ก โดยเฉพาะเด็กอายุ 5 – 9 ปี รองลงมาคือ 0 – 4 ปี, 10 – 14 ปี, 15 – 24 ปี และ 25 – 34 ปี ตามลำดับ

อาการ

มีไข้ต่ำ, อ่อนเพลีย, เบื่ออาหาร, มีผื่นขึ้นพร้อมๆกับเป็นไข้, มีตุ่มขึ้นแต่ไม่มาก และจะหายได้เองภายใน 7 – 10 วัน

การป้องกัน

คุณแม่ควรพาลูกไปฉีดวัคซีนป้องกันอีสุกอีใส โดยฉีดได้ตั้งแต่ลูกมีอายุ 1 ปี หรือในช่วงอายุ 12 – 18 เดือน

4) โรคอุจจาระร่วง

โรคอุจจาระร่วงเกิดได้ทั้งเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย พบมากในเด็กเล็กที่มีอายุน้อยกว่า 5 ปี เมื่อเด็กเป็นโรคอุจจาระร่วงจะมีอาการท้องเสียหรืออาเจียน แล้วจะมีอาการขาดน้ำและเกลือแร่ ฉะนั้นเมื่อลูกเป็นโรคนี้ พ่อแม่ควรพาไปพบแพทย์ทันที

อาการ

มีไข้, ปวดท้อง, คลื่นไส้อาเจียน และอุจจาระบ่อย

การป้องกัน

ให้ลูกล้างมือให้สะอาดและบ่อยๆ โดยเฉพาะก่อนทานอาหารและหลังจากเข้าห้องน้ำ ที่สำคัญให้ลูกทานอาหารที่ปรุงสุก ร้อน และสะอาด

5) โรคไข้หวัด

โรคไข้หวัดในเด็กเป็นโรคที่เกิดในทุกช่วงฤดู โดยเฉพาะฤดูฝนและฤดูหนาว เฉลี่ยแล้วเด็กจะเป็นไข้หวัดกันเยอะ ที่เป็นเช่นนี้เพราะไข้หวัดมีเชื้อไวรัสหลายสายพันธุ์ เมื่อเป็นหายแล้วก็สามารถกลับมาเป็นได้อีก

อาการ

มีไข้, มีน้ำมูกไหล, ไอ, จาม, หายใจลำบาก เด็กบางคนอาจมีอาการอาเจียน และอุจจาระร่วงท้องเสียด้วย

การป้องกัน

พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เด็กใกล้ชิดกับผู้ป่วย, รักษาสุขภาพอนามัย, ทานอาหารที่มีประโยชน์ และพักผ่อนให้เพียงพอ

6) โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

ภาพจาก https://www.thaichildcare.com/

โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบพบมากในเด็กอ่อน และเด็กเล็ก เกิดจากเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อราบริเวณเยื่อหุ้มที่หุ้มรอบสมองและไขสันหลัง จนทำให้บริเวณนั้นเกิดการอักเสบ บวม

อาการ

มีไข้สูง, ซึม, ชัก, อาเจียน แขนขาอ่อนแรง พ่อแม่ควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เพราะอย่างที่บอกว่าโรคนี้มักพบมากในเด็กอ่อน และเด็กเล็ก ซึ่งเด็กไม่สามารถบอกอาการได้ ฉะนั้นหากลูกมีอาการเช่นนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

การป้องกัน

รักษาสุขภาพอนามัยพื้นฐานของลูกให้ดี หลีกเลี่ยงการพาลูกไปคลุกคลีกับผู้ป่วย ล้างมือให้สะอาดและบ่อยๆ โดยเฉพาะก่อนทานอาหารและหลังจากเข้าห้องน้ำ กินอาหารที่มีประโยชน์ และพาลูกออกกำลังกายบ้าง

7) โรคภูมิแพ้

ภูมิแพ้เป็นโรคที่ภูมิในร่างกายมีปฏิกิริยากับสารก่อภูมิแพ้ หรือสิ่งแวดล้อมบางอย่างไวกว่าคนปกติ อาจเกิดจากพันธุกรรม หรือสิ่งแวดล้อมก็ได้ เช่น อากาศ ฝุ่น สัตว์เลี้ยง ดอกไม้ เป็นต้น

อาการ

ไอ, จาม, น้ำตาไหล, คัดจมูก มีอาการคัน และมีผื่นแดงขึ้น

การป้องกัน

คุณแม่สามารถป้องกันโรคภูมิแพ้ได้ตั้งแต่ลูกน้อยยังอยู่ในท้อง โดยทานอาหารที่มีประโยชน์ อย่าทานอาหารที่มีโอกาสที่จะทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ง่ายเกินไป เช่น อาหารทะเล, ไข่, นมวัว, ช็อกโกแลต, ถั่วลิสง, แป้งสาลี, ผลิตภัณฑ์จากนม เป็นต้น เพราะอาจทำให้ลูกสัมผัสกับสิ่งก่อนภูมิแพ้เหล่านี้เร็วเกินไป และเมื่อลูกเกิดมาแล้วก็ควรให้แต่นมแม่อย่างน้อย 6 เดือน หลีกเลี่ยงการดื่มนมวัว และควรให้ลูกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สะอาด