มาปลูกผักสวนครัวกินที่บ้านกันเถอะ กับ 13 ผักยอดนิยม ที่ปลูกผักกินเองได้ แถมยังช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ด้วย ในช่วงที่ผักอะไรก็แพงไปหมดแบบนี้ ที่สำคัญได้กินผักปลอดสารพิษจากฝีมือการปลูกผักของตัวเองอีกด้วย ดี้ดีอะ รู้สึกภูมิใจสุดๆ
1. ผักบุ้งจีน
ภาพจาก https://www.thairath.co.th
ปกติราคาของผักบุ้งจีนจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 20 – 25 บาท แต่ยุคเศรษฐกิจแบบนี้ ราคาผักบุ้งขึ้นเพิ่มอีกกิโลละ 5 – 10 บาท ซึ่งเป็นจำนวนตัวเลขที่เยอะอยู่ สู้ปลูกผักบุ้งจีนกินเองดีกว่า เพราะผักบุ้งจีนเป็นผักสวนครัวที่ปลูกง่ายมากๆ หยอดเมล็ดไป ไม่กี่วันก็เก็บกินได้แล้ว หากปลูกเยอะก็เก็บไปขายเอาเงินได้อีก เพียงแค่ใส่ใจหมั่นรดน้ำให้ชุ่มเท่านั้น ผักบุ้งจีนก็งอกงาม ใบเขียวน่ากินแล้ว
วิธีการปลูก
- นำเมล็ดผักบุ้งจีนมาแช่น้ำ 48 ชั่วโมง
- ไถดินเตรียมก่อนปลูกเพื่อตากแดดประมาณ 15 – 30 วัน
- ไถดินอีกรอบหนึ่ง และขึ้นแปลงปลูก
- ใส่ปุ๋ยลงไปในแปลงดิน คลุกเคล้าปุ๋ยกับดินให้เข้ากัน
- พรวนหญ้าดินให้เรียบเสมอกัน
- จะหว่านเมล็ดหรือหยอดเมล็ดก็ได้ตามต้องการ
- สามารถกำจัดวัชพืชได้ทันที โดยการพรวนดินหรือถอนด้วยมือ
- ผ่านไป 25 – 30 วัน หรือหากต้นสูงประมาณ 30 – 35 ซม. ก็เก็บเกี่ยวได้แล้ว
การดูแล
- รดน้ำทุกวันๆละ 1 – 2 ครั้ง แต่หากวันไหนฝนตก ก็ไม่ต้องรดน้ำ สำคัญเลยคืออย่าปล่อยให้ผักบุ้งจีนขาดน้ำ เพราะจะทำให้ผักขาดการเติบโต ไม่มีคุณภาพ และไม่น่ากิน
2. ต้นหอม
ภาพจาก https://www.thairath.co.th
ใครที่ชอบกินอาหารประเภทยำและแกงจำเป็นต้องมีต้นหอมติดบ้านไว้นะคะ การปลูกต้นหอมไม่ได้ยากอะไรเลย แถมยังเป็นผักที่สามารถงอกเงยขึ้นมาใหม่ได้ แค่แช่รากกับน้ำประมาณ 5 วันเท่านั้น พอรากขยายสาขามาเยอะ ใบของต้นหอมก็จะขึ้นออกมาให้เราตัดไปกิน เห็นมั๊ยล่ะว่ามันปลูกกินง่ายจริงๆ
วิธีการปลูก
- เตรียมดินในการปลูกต้นหอม โดยการพรวนดินให้ร่วน แล้วทุบเปลือกถั่วลิสงให้เป็นชิ้นเล็กๆ
- นำเปลือกถั่วลิสงผสมกับดิน แล้วตักดินใส่กระถาง โดยไม่ต้องกดดินให้แน่น
- ใช้มีดตัดต้นหอมเหนือราก 1.5 – 2 นิ้ว แล้วปักชำลงดิน โดยเว้นระยะห่างแต่ละต้นให้ห่างกัน 2 นิ้ว รดน้ำให้ชุ่ม
- หากปลูกด้วยเมล็ด สามารถโรยเมล็ดลงหน้าดินได้เลย ประมาณ 4 – 5 เมล็ดต่อกระถางก็พอ เพื่อไม่ให้ต้นและรากของต้นหอมติดกันตอนโต
- ต้นหอมที่ปลูกด้วยรากสามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่อมีอายุ 30 – 32 วัน ส่วนต้นหอมที่ปลูกด้วยเมล็ดจะสามารถเก็บได้เมื่อมีอายุ 45 วัน
การดูแล
- รดน้ำเช้า – เย็นตามปกติ แต่พอใบเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้วก็ให้เปลี่ยนเป็นรดน้ำวันละครั้งพอ
- หากปลูกในกระถางไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย แต่ให้ใช้เปลือกถั่วลิสงทุบให้แหลก หรือนำเศษเปลือกไข่แตกโรยหน้าดินก็พอ
3. กะเพรา
ภาพจาก https://prayod.com
กะเพราหนึ่งในผักสวนครัวโปรดของใครหลายๆคน รู้หรือไม่ว่ากะเพราเป็นผักที่กินแล้วงอกใหม่ได้ แค่นำก้านที่ลิดใบออกแล้วไปปักลงในกระถางดินร่วน หรือจะลงแปลงปลูกดินโดยตรงก็ได้ แล้วรดน้ำเช้า – เย็น กะเพราก็จะงอกออกมาให้เก็บไปกินใหม่ได้ ไม่ต้องไปหาซื้อกะเพราที่ตลาดหลายสิบบาทเลย แถมจะเก็บมากินเมื่อไหร่ก็ได้ตามต้องการ ดีสุดๆ
วิธีการปลูก
ปลูกด้วยการปักชำ
- นำกะเพรากิ่งแก่กลางอ่อน ตัดส่วนยอดดอก แล้วนำไปปักชำในกระถาง หรือแปลงที่เตรียมไว้ โดยปักให้เฉียง 45 องศา
- เอาดินกลบส่วนที่ปักชำบางๆ จากนั้นเอาฟางคลุมและรดน้ำให้ชุ่ม
ปลูกด้วยเมล็ด
- เตรียมดินละเอียดเทลงไปในกระถาง
- หว่านเมล็ดให้ทั่วแปลง จากนั้นใช้ฟางกลบ หรือใช้ปุ๋ยคอกโรยทับบางๆก็ได้
- แล้วรดน้ำตามทันที แนะนำว่าให้ใช้ฝักบัวรดน้ำรูเล็กๆรดนะคะ
- อีกประมาณ 7 วัน เมล็ดจะงอกเป็นต้นกล้า
- พอต้นกล้าอายุได้ 1 เดือน ก็ค่อยๆถอนแยกจัดระยะต้นให้มีความห่างระหว่างต้นประมาณ 20 – 30 ซม.
- เมื่อต้นกล้าโตเต็มที่ก็เก็บมากินได้แล้ว
การดูแล
- รดน้ำเช้า – เย็นสม่ำเสมอ กะเพราเป็นพืชที่ทนแล้งได้ ไม่ต้องการการดูแลให้ยุ่งยากเท่าไหร่นัก
4. ถั่วงอก
ภาพจาก https://medium.com
เชื่อว่าสมัยประถม มัธยม เราก็เคยเรียนรู้วิธีการปลูกถั่วงอกกันมาบ้าง ถ้าอย่างนั้นมารื้อฟื้นความจำในการปลูกถั่วงอกกันบ้างดีกว่า
วิธีการปลูก
- นำถั่วเขียวมาล้างทำความสะอาด จากนั้นแช่ถั่วเขียวในน้ำอุ่นค้างไว้ 1 คืน
- วางกระสอบป่าน แผ่นฟองน้ำ หรือผ้าขนหนูที่ตัดไว้ลงไปในภาชนะที่เตรียมไว้
- โรยถั่วเขียวที่แช่ในน้ำอุ่นลงบนตะแกรง โดยให้เมล็ดถั่วซ้อนกันประมาณ 2 – 3 ชั้น
- ใช้กระดาษทิชชู่หรือผ้าเปียกคลุมไว้ แล้วนำไปวางไว้ในที่น้ำระบายได้
- หลังจากนั้นประมาณ 3 – 4 วัน ถั่วเขียวก็จะงอกออกมาเป็นถั่วงอก
การดูแล
- หมั่นรดน้ำทุกวันๆละ 3 – 4 เวลา หากไม่สะดวกก็รดเฉพาะเวลาเช้า – เย็นก็ได้
5. มะนาว
ภาพจาก https://www.matichonweekly.com
มะนาวเดี๋ยวนี้ราคาแพงมาก จากที่ราคาก็แพงอยู่แล้วลูกละ 3 – 5 บาท ตอนนี้ราคาก็แพงมากขึ้นไปอีกถึงลูกละ 10 บาท ฉะนั้นหากปลูกมะนาวเองได้ควรจะทำ เป็นการลดค่าใช้จ่ายไปในตัวด้วย ว่าแล้วไปดูวิธีการปลูกมะนาวกันเลย
วิธีการปลูก
- ปอกเปลือกมะนาว แล้วหั่นมะนาวออกเป็นส่วนๆ พยายามอย่าใช้มีดหั่นมะนาวเป็นเสี้ยว เพราะคมมีดอาจหั่นเมล็ดมะนาวให้เสียหายได้
- แยกเมล็ดมะนาวออกมา ระวังอย่าให้เล็บขูดผิวเมล็ดมะนาวจนถลอก
- นำเมล็ดมะนาวไปล้างกับน้ำเย็นให้สะอาด
- ตากเมล็ดมะนาวกับแดดจัดๆ เพื่อให้เมล็ดแห้งสนิท
- แช่น้ำมะนาวกับน้ำเย็นทิ้งไว้ 1 คืน
- ปูกระดาษทิชชู่รองถาดพลาสติกประมาณ 2 – 3 แผ่น จากนั้นนำเมล็ดมะนาวมาวางเรียงบนกระดาษทิชชู่
- คลุมเมล็ดมะนาวด้วยกระดาษทิชชู่อีกชั้นหนึ่ง พรมน้ำจนกระดาษทิชชู่ชุ่ม ปิดฝากล่อง แล้วปล่อยทิ้งไว้ 2 – 3 วัน
- หมั่นเปิดดูว่าเมล็ดมะนาวออกรากหรือยัง แล้วคอยพรมน้ำอย่าปล่อยให้กระดาษทิชชู่แห้งเด็ดขาด
- ถ้ารากเริ่มงอกแล้วให้เตรียมผสมดินร่วนกับปุ๋ยคอกในอัตราส่วน 50 : 50 ลงในกระถาง
- วางเมล็ดมะนาวลงปลูก กลบดินให้แน่น แล้วรดน้ำพอชุ่ม นำกระถางไปวางข้างหน้าต่างให้มีแสงแดดส่องถึง
- หากต้นมะนาวเริ่มโต ให้เปลี่ยนไปใส่กระถางที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม
การดูแล
- มะนาวชอบน้ำมาก ควรหมั่นรดน้ำโดยไม่ควรให้ชุ่มจนเกินไป แต่อย่าให้ขาดน้ำโดยเด็ดขาด
6. พริกขี้หนู
ภาพจาก https://www.thaigreenagro.com
พริกขี้หนูเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศที่ช่วยให้อาหารมีรสชาติขึ้นมา นอกจากรสชาติที่เผ็ด แซ่บของมันแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายหลากหลายด้วยนะ ไม่ว่าจะช่วยลดคอเลสเตอรอล, ช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตัน, ช่วยให้เจริญอาหาร และมีฤทธิ์ต้านมะเร็งอีกด้วย ประโยชน์เยอะขนาดนี้ต้องปลูกไว้ที่บ้านแล้วล่ะ
วิธีการปลูก
- นำพริกพันธุ์ที่จะปลูกไปแช่ในน้ำอุ่นไว้ประมาณ 1 วันและนำออกมาผึ่งแดดอีกครึ่งวัน ก่อนแกะเมล็ดพริกออกมาปลูก
- ผสมดินร่วนปนทรายเข้ากับปุ๋ยหมักสูตรโพเทสเซียมสูงกว่าไนโตรเจนลงในกระถางเพาะต้นกล้าพริก ขุดหลุมดินในกระถางให้ลึกประมาณ ½ นิ้ว แล้วหย่อนเมล็ดพริกที่เตรียมไว้ลงในหลุมประมาณ 3-4 เมล็ด กลบดิน รดน้ำให้ชุ่มทุกวัน พร้อมกับสังเกตว่าดินระบายน้ำได้ดีหรือไม่ และที่สำคัญต้องวางกระถางเพาะไว้ในที่ที่มีแดดส่องถึง
- เมื่อต้นกล้าเริ่มงอกสูง 6 นิ้วขึ้นไปและออกใบให้เห็น ให้ถอนต้นกล้าที่อ่อนแอทิ้งไปให้เหลือไว้เฉพาะต้นกล้าที่แข็งแรงเพียง 1 ต้น หลังจากนั้นก็ทำการย้ายต้นกล้าพริกไปปลูกในกระถางใหญ่ที่มีดินร่วนปนทรายผสมปุ๋ยหมัก เช่นเดียวกับขั้นตอนเพาะต้นกล้าพริก
- พอเดือนที่ 2 – 3 พริกขี้หนูก็จะออกดอกและให้ผล ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว
การดูแล
- รดน้ำให้ชุ่มวันละ 2 ครั้ง และคอยหมั่นสังเกตการระบายน้ำในดินให้ดี อย่าปล่อยให้มีน้ำขัง
- พรวนดินบ้างเพื่อกำจัดวัชพืชออกไป
- หมั่นใส่ปุ๋ยเดือนละครั้ง โดยเลี่ยงการใส่ปุ๋ยใต้โคนต้นพริกโดยตรง เพราะจะทำให้รากเน่าและต้นพริกตายได้
- วางกระถางให้โดนแดด
7. ผักชี
ภาพจาก https://today.line.me
ผักชีเป็นผักที่ปลูกได้เองแบบง่ายมากๆ แค่ซื้อเมล็ดพันธุ์ผักชีมา 1 ซองก็ปลูกได้แล้ว แถมยังดูแลง่าย เหมาะกับการปลูกไว้หลังบ้านเป็นที่สุด
วิธีการปลูก
- เตรียมดินสำหรับปลูก โดยตากดินทิ้งไว้สัก 1 สัปดาห์ จากนั้นพรวนดินให้แตกเป็นก้อนเล็ก ผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยสดคลุกเคล้าเข้าไป
- บดเมล็ดพันธุ์ผักชีให้แตกออกเป็น 2 ซีก แล้วนำเมล็ดไปแช่น้ำประมาณ 2 – 3 ชั่วโมง
- นำเมล็ดพันธุ์ผักชีที่แช่น้ำไปผึ่งลม ผสมกับทรายหรือขี้เถ้าสักเล็กน้อย
- เมื่อเมล็ดเริ่มงอก ให้นำไปใส่กระถางปลูกที่เตรียมดินเอาไว้ จากนั้นคลุมด้วยฟางข้าวหรือหญ้าแห้ง แล้วรดน้ำให้ชุ่ม
- อีก 30 – 45 วันก็สามารถเก็บเกี่ยวมากินได้ เวลาถอนให้รดน้ำจนดินชุ่มก่อน และควรถอนทั้งราก
การดูแล
- รดน้ำให้ชุ่มวันละ 2 ครั้ง
- พอผักชีแตกใบให้ใส่ปุ๋ยหมัก หรือถ้าจะเร่งให้งามเร็วๆ ให้ใส่ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต อัตราส่วน 3 – 4 ช้อนแกงต่อน้ำ 1 ปี๊บ แล้วนำไปฉีดพ่นเบาๆ
- ผักชีชอบอากาศเย็น เมื่อเริ่มโตควรให้ผักชีโดนแดดอ่อนๆยามเช้าบ้าง
8. คะน้า
ภาพจาก https://www.honestdocs.com
ผักสวนครัวอีกหนึ่งชนิดที่สามารถปลูกได้เองแบบง่ายๆที่บ้าน และหลายๆคนก็คงชอบกินผักคะน้าด้วย ถ้าอย่างนั้นเรามาปลูกคะน้าไว้ที่บ้านกันเถอะ
วิธีการปลูก
- เตรียมถาดพลาสติกสำหรับการเพาะปลูกคะน้า หลังจากนั้นนำดินพร้อมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในอัตรา 2:1 ใส่ลงในถาด
- หาเศษไม้เล็กๆ แล้วนำมากดลงไปในดิน ในถาดที่เราเตรียมจะเพาะ โดยความลึก 0.5 ซม.
- นำเมล็ดของผักคะน้าที่เราเตรียมไว้ ใส่ในหลุมที่เพาะ หลุมละ 1 – 2 เมล็ด
- ใส่ดินแล้วรดน้ำ
- หลังจากที่เริ่มเพาะปลูกคะน้าได้ 7 – 10 วัน ผักจะค่อยๆ เริ่มเจริญเติบโต
- พอเข้าวันที่ 20 – 25 ของการเพาะปลูก ให้นำต้นคะน้ามาลงปลูกในกระถาง และพอวันที่ 45 สามารถเก็บผักคะน้าได้แล้วล่ะค่ะ
การดูแล
- หมั่นรดน้ำทุกวันๆละ 2 ครั้ง
9. แตงกวา
ภาพจาก https://news.thaiza.com
แตงกวากินแกล้มกับอะไรก็อร่อย แถมยังนำมาเป็นวัตถุดิบเสริมความงามก็ยังได้ สรรพคุณก็หลากหลายทั้งช่วยบำรุงระบบย่อยอาหาร ช่วยกำจัดของเสียในร่างกาย แถมช่วยแก้อาการท้องผูกได้ด้วย ไม่ว่าจะอยู่บ้าน คอนโด หอพัก ก็สามารถปลูกแตงกวากินเองได้ทั้งนั้น
วิธีการปลูก
- เตรียมดินร่วนปนทราย แล้วผสมดินกับปุ๋ยหมักในอัตราส่วน 50 : 50
- ใส่กรวดรองก้นในกระถางที่ต้องการจะเพาะ แล้วนำดินที่ได้ผสมไว้แล้วเทใส่ลงไป
- ดินในกระถาง ทำหลุมตรงกลางประมาณ 1.2 เซนติเมตร แล้วนำเมล็ดแตงกวาใส่ลงไป หลุมละ 4 – 5 เมล็ด
- รดน้ำให้เรียบร้อย และดูทิศทางในการตั้งกระถางให้ดี ให้แสงแดดสามารถส่องถึงได้
- เมื่อต้นแตงกวาที่เพาะไว้เริ่มมีการเจริญเติบโต หากมีต้นกล้าที่สภาพไม่ดีให้ถอนทิ้งไป แต่ควรถอนด้วยความระมัดระวัง
- เมื่อเข้าสู่วันที่ 60 ของการปลูก ให้ดูขนาดความยาวของผล หากยาว 7 เซนติเมตรขึ้นไป ถือว่าเก็บได้
การดูแล
- แตงกวาเป็นพืชที่ชอบน้ำมากและต้องการน้ำมากถึง 3 ลิตรต่อวัน เวลารดน้ำให้รดอย่างระมัดระวังอย่าให้โดนเถาหรือลำต้นมิเช่นนั้นจะต้นเน่าเอาได้
- วางกระถางให้โดนแสงแดดอย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมง
- หมั่นใส่ปุ๋ย และพรวนดินในช่วงระยะแรกๆ เพื่อกำจัดวัชพืชเท่านั้นพอ
10. โหระพา
ภาพจาก https://prayod.com
โหระพาสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายอย่าง ทั้งกินเป็นผักสดแกล้มกับอาหารอื่นได้ด้วย สรรพคุณก็เยอะ ปลูกก็ง่าย
วิธีการปลูก
- เตรียมดินเทใส่ในกระถางสำหรับการเพาะปลูกให้เรียบร้อย
- นำกิ่งของโหระพาที่สมบูรณ์ เด็ดใบออกและเหลือไว้บางส่วน จากนั้นนำไปปักชำใส่กระถางที่ได้เตรียมไว้
- เมื่อปักกิ่งของโหระพาใส่กระถางแล้ว นำฟางมาคลุมให้ทั่วบริเวณด้านบนของกระถาง
- ขั้นตอนสุดท้าย รดน้ำให้ต้นโหระพา ถือเป็นอันเสร็จสิ้น
การดูแล
- รดน้ำให้ต้นโหระพาอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอ แต่อย่าให้แฉะจนเกินไป
- จัดวางกระถางต้นไม้ให้ได้รับแสงแดดธรรมชาติ แต่อย่าให้โดนแดดจัดเกินไป
11. มะเขือเปราะ
ภาพจาก https://health.mthai.com
ผักสวนครัวอีกชนิดที่มีคุณประโยชน์มากมาย ยิ่งได้กินกับลาบยิ่งอร่อย และเป็นผักที่ปลูกง่ายด้วย งั้นจะรออะไรล่ะ มาปลูกมะเขือเปราะกันเถอะ
วิธีการปลูก
- เตรียมภาชนะสำหรับการเพาะ จากนั้นผสมดินและปุ๋ยคอกลงในภาชนะเพาะ
- นำเศษไม้เล็กๆ กดลงไปในดิน หลังจากนั้นนำเมล็ดของมะเขือเปราะใส่ลงไป
- เมื่อหยอดเมล็ดใส่ภาชนะที่เพาะเสร็จ ก็นำดินมากลบให้เรียบร้อย
- หลังจากเริ่มเพาะได้ประมาณ 7 – 10 วัน มะเขือเปราะที่เพาะจะเริ่มเจริญเติบโต
- หลังจากเพาะไปได้ประมาณ 30 วัน ให้ย้ายต้นกล้าลงในกระถาง
การดูแล
- รดน้ำทุกวัน และในช่วงการติดผลต้องรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ
12. ตะไคร้
ภาพจาก https://health.mthai.com
ตะไคร้เป็นผักชนิดหนึ่งที่นิยมนำไปทำเป็นเครื่องแกง นอกจากนี้ยังนำไปทำเป็นเครื่องดื่ม หรือสกัดเอาน้ำมันหอมระเหยไปใช้ในงานสปาหรือไล่ยุงได้ เรียกว่าสารพัดประโยชน์ขนาดนี้ ต้องปลูกไว้ที่บ้านแล้ว
วิธีการปลูก
- ตะไคร้ที่จะนำมาปลูกจะต้องเป็นต้นตะไคร้ที่มีรากติด แต่ถ้าแยกกอออกมาจากต้นที่สมบูรณ์ ให้แยกหนึ่งออกมาแค่ 3 ต้นเท่านั้น แต่หากตะไคร้ที่ซื้อมาไม่มีราก ต้องตัดโคนต้นให้เหลือความยาวสัก 1½ นิ้ว แล้วนำไปแช่น้ำทิ้งไว้ไม่เกิน 2 สัปดาห์ เพื่อรอให้รากงอกแล้วค่อยนำไปปลูก
- รองก้นกระถางด้วยวัสดุรองก้นกระถางอย่าง แกลบ หิน หรือใบไม้แห้งไว้ก่อน จากนั้นเทดินลงไปกะระยะให้ได้ครึ่งกระถาง แล้วนำปุ๋ยคอกมาผสมดินให้ทั่ว สุดท้ายเทดินลงไปให้เกือบเต็มกระถาง
- ใช้พลั่วเขี่ยดินตรงกลางให้เป็นหลุม แล้วนำต้นตะไคร้ที่แยกกอหรือต้นที่แช่น้ำเอาไว้มาปลูก กลบดินให้มิดชิด แต่ไม่ต้องแน่นมาก และรดน้ำให้ชุ่ม
การดูแล
- หลังจากปลูกเสร็จแล้วก็รดน้ำในกระถางให้ชุ่ม นำไปวางไว้ในที่ที่มีแดดรำไร สังเกตดูพอต้นเริ่มแข็งแรงดีให้นำกระถางออกมาตั้งให้โดนแดด รดน้ำทั้งเช้าและเย็น ใช้ปุ๋ยบำรุงเมื่อตะไคร้มีอายุได้ 3 เดือน ระยะเก็บเกี่ยวจะอยู่ที่ 8 เดือนจนถึง 1 ปีครึ่ง
13. ข่า
ข่าสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ทั้งยังเป็นผักสวนครัวที่ทนแล้งได้ดี ปลูกและดูแลก็ง่าย ความต้องการทางตลาดก็สูง เผลอๆถ้าเราปลูกแล้วมันขึ้นดีและเยอะ ก็เก็บไปขายเพิ่มรายได้ให้กับตัวเองได้อีก
วิธีการปลูก
- หยิบกาบมะพร้าวที่เราเตรียมไว้มารองก้นกระถาง 1 ส่วน
- จากนั้นนำดินมาใส่ลงไป 2 ส่วน แล้ววางหัวข่าให้ห่างกันสักคืบละหัว เสร็จแล้วก็กลบด้วยดินอีก 1 ส่วน
- รดน้ำเช้า – เย็น ประมาณ 10 – 15 วันข่าก็จะโตพอที่จะนำมากินได้แล้ว
การดูแล
- ข่าเป็นพืชที่ชอบความชื้น แต่ก็ไม่ชอบน้ำขัง ดังนั้นควรรดน้ำแค่วันละ 2 ครั้งก็พอแล้ว