5 ยอดเขาโมโกจู -1

5 ยอดเขาในไทย สาวสายลุยต้องไปพิชิตสักครั้ง

มีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยที่รักและชื่นชอบในการท่องเที่ยวธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นเขา ขึ้นดอย เที่ยวน้ำตก เดินชมป่า ซึ่งการท่องเที่ยวแบบนี้แหละเป็นช่วงเวลาที่เราสามารถชื่นชมธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ทั้งลำธารที่ชุ่มฉ่ำ แมกไม้เขียวขจี หรือเมฆหมอกที่ลอยอยู่รอบๆ มันทำให้เรารู้สึกได้ถึงการเป็นอิสระ การกลับไปสู่ยุคเริ่มต้นเหมือนสมัยก่อนอีกครั้ง และในประเทศไทยเองก็มียอดเขาสวยๆที่เหมาะกับการเดินป่า ชื่นชมธรรมชาติอยู่เยอะเหมือนกัน งานนี้เราก็เลยคัดสรร 5 ยอดเขาในไทย ที่ขึ้นชื่อว่ามีความสวยงามมากและเหมาะกับสายลุยที่ต้องการเดินป่าเข้าไปชื่นชมความงามของธรรมชาติมาฝากเพื่อนๆกัน

1. อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว

1 อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว -1

ภาพจาก wongnai.com

1 อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว -2

ภาพจาก pa-tour.com

1 อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว -3

ภาพจาก http://park.dnp.go.th

มีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าน้ำปาด ท้องที่ ต.ม่วงเจ็ดต้น ต.นาขุม ต.บ้านโคก อ.บ้านโคก ต.ห้วยมุ่น อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ ต.บ่อภาค อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก ที่นี่เป็นสวรรค์ของนักเดินป่าเลย หากมาในช่วงฤดูฝนก็จะพบกับ “ทุ่งดอกหงอนนาค” สีม่วง รวมไปถึงพรรณไม้อื่นๆอีกนานาชนิด เช่น ดอกหญ้ารากหอม ดอกกระดุมเงิน ดอกสร้อยสุวรรณา กล้วยไม้รองเท้านารี และต้นเมเปิ้ลที่ออกดอกบานสะพรั่งไปทั่วผืนป่า นอกจากนี้ยังมีน้ำตกภูสอยดาวและน้ำตกสายทิพย์ให้เราแวะเล่นน้ำเย็นๆอีกด้วย

ในการเดินป่าไปยังลานสนสามใบภูสอยดาว ต้องเดินเท้าเข้าไป ระยะทาง 6.5 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 4 – 6 ชั่วโมง ทางอาจจะเดินลำบากหน่อย แต่ระหว่างทางก็จะได้ชื่นชมกับธรรมชาติทั้งนก และแมลงต่างๆหลากหลายชนิด ยิ่งขึ้นไปถึงก็จะทำให้หายเหนื่อย เพราะความสวยของมันเอง อยากจะขึ้นไปกางเต้นท์นอน ทางอุทยานก็มีลานกางเต้นท์ไว้คอยบริการด้วย แต่อาหารการกินต้องเตรียมขึ้นไปเอง เพราะทางอุทยานไม่มีร้านค้าค่ะ อุทยานแห่งชาติภูสอยดาวเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 – 16.30 น. ค่าเข้าสำหรับคนไทย เด็ก 20 บาท ผู้ใหญ่ 40 บาท ส่วนคนต่างชาติ เด็ก 100 บาท ผู้ใหญ่ 200 บาท ติดต่อสอบถามได้เลยที่เบอร์ 055-436793, 055-436001 และ 055-436002 ค่ะ

2. ดอยผ้าห่มปก

2 ดอยผ้าห่มปก -1

ภาพจาก chiangmai2day.com

2 ดอยผ้าห่มปก -2

ภาพจาก amazingthaitour.com

2 ดอยผ้าห่มปก -3

ภาพจาก travel.mthai.com

ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก จังหวัดเชียงใหม่ ดอยมีความสูงถึง 2,285 เมตร ถือเป็นดอยที่สูงเป็นอันดับสองของประเทศไทยเลย บนดอยมีอากาศที่เย็นตลอดปี ทั้งวิวทิวทัศน์บนดอยก็สวยเอามากๆ ทะเลหมอกก็ตราตรึงใจ ยิ่งได้เห็นภาพพระอาทิตย์ขึ้นและตกดินยิ่งโรแมนติก ในการเดินเท้าขึ้นดอยผ้าห่มปกใช้เวลาไปกลับประมาณ 3 – 4 ชั่วโมง ระหว่างทางขึ้นดอยก็จะเจอกับธรรมชาติที่สวยงาม ทั้งพันธุ์ไม้และสัตว์นานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นนกปรอดหัวโขนก้นเหลือง นกปีกแพรสีม่วง ผีเสื้อไกเซอร์อิมพิเรียล ฯลฯ อยากไปนอนกางเต้นท์ชมดาวหรือรอดูหมอกยามเช้าก็ขึ้นไปกางเต้นท์นอนได้ เพราะบนดอยมีลานกางเต้นท์ให้บริการอยู่ ห้องส้วม ห้องอาบน้ำ ก็มีบริการพร้อม ส่วนอาหารต้องนำขึ้นไปเอง เพราะไม่มีร้านค้าบริการ อุทยานเปิดให้บริการทุกวัน ยกเว้นวันที่ 1 กรกฏาคม – 30 กันยายน ของทุกปี ตั้งแต่เวลา 08.00 – 18.00 น. ค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานสำหรับคนไทย เด็ก 20 บาท ผู้ใหญ่ 50 บาท ส่วนคนต่างชาติ เด็ก 150 บาท ผู้ใหญ่ 300 บาท ติดต่อสอบถามเรื่องการเดินทางหรือเข้าพักได้เลยที่เบอร์ 053-453517-8 ค่ะ

3. ดอยม่อนจอง

3 ดอยม่อนจอง -1

ภาพจาก amazingthaitour.com

3 ดอยม่อนจอง -2

ภาพจาก m.thetrippacker.com

3 ดอยม่อนจอง -3

ภาพจาก supersports.co.th

ลักษณะที่โดดเด่นของดอยม่อนจองคือยอดดอยที่คล้ายกับหัวสิงโต จึงทำให้จุดสูงสุดของยอดดอยมีป้ายว่ายอดดอยหัวสิงห์ตั้งอยู่ ในอดีตดอยม่อนจองเป็นดินแดนแห่งสรรพสัตว์ มีทั้งกวางผา เลียงผา โขลงช้างป่า แต่ปัจจุบันก็ยังมีอยู่แต่น้อยจากอดีต และหาดูได้ยาก สำหรับใครที่ชอบส่องนก ที่นี่ก็มีนกหลายชนิดให้ได้ชมกันทั้งนกอินทรีแถบปีกดำ นกอินทรีเล็ก นกเดินดงคอดำ ฯลฯ ไฮไลต์ของการมาเที่ยวดอยม่อนจองอยู่ที่ การได้ชมภูเขาสูงสลับซับซ้อน และทุ่งหญ้าที่เปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว อีกทั้งช่วงเดือนธันวาคม – มกราคม มีกุหลาบพันปีออกดอกบานสะพรั่ง เต็มต้นอยู่ตามไหล่เขา สวยงามมาก

หากอยากขึ้นมาเที่ยวดอยม่อนจองต้องติดต่อขออนุญาตจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย หน่วยมูเซอร์ก่อน แล้วนั่งรถโฟร์วีลขึ้นไปตรงจุดเริ่มเดินขึ้นเขาระยะทาง 16 กิโลเมตร จากนั้นเดินเท้าขึ้นดอยอีก 4 กิโลเมตร ใช้เวลาเดิน 3 – 4 ชั่วโมง อยากจะขึ้นไปนอนกางเต้นท์ก็ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ล่วงหน้าด้วย และต้องเตรียมเต้นท์ อุปกรณ์ต่างๆไปเอง รวมถึงการขึ้นไปบนดอยต้องมีเจ้าหน้าที่นำทางไปด้วยทุกครั้ง ดอยม่อนจองเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปสัมผัสความสวยงามได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน – เดือนกุมภาพันธ์ ของทุกปี ตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น. หลังจากนั้นจะปิดไม่ให้ขึ้นไปเพราะต้องระวังช้างป่าที่จะออกมาหากิน รวมถึงสภาพอากาศที่แห้งอาจเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่าได้ ค่าบริการเจ้าหน้าที่นำทางเที่ยวละ 500 บาท ลูกหาบคิดวันละ 400 บาท ค่ารถโฟร์วีล 2,500 – 3,000 บาท สาวสายลุยคนไหนสนใจอยากขึ้นไปพิชิตยอดดอยสักครั้งก็จัดเลยค่ะ สอบถามค่าบริการอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 053-248604

4. ดอยหลวงเชียงดาว

4 ดอยหลวงเชียงดาว -1

ภาพจาก viajesplus.com

4 ดอยหลวงเชียงดาว -2

ภาพจาก https://www.sunday.zone

4 ดอยหลวงเชียงดาว -3

ภาพจาก chiangmaipolice.com

ดอยหลวงเชียงดาวเป็นดอยที่สูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศไทย ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ที่ดอยหลวงเชียงดาวนี้ถือเป็นสวรรค์ของคนรักธรรมชาติและรักสัตว์เลยทีเดียว เพราะระหว่างทางเดินขึ้นดอย นักท่องเที่ยวจะได้พบกับต้นไม้นานาพันธุ์ เช่น ต้นค้อเชียงดาว สิงโตเชียงดาว อั้วปากฝอยเชียงดาว ฯลฯ รวมถึงนกชนิดต่างๆ เช่น นกกินปลี นกปรอดเทาหัวขาว นกแซงแซว และสัตว์อื่นๆอีกด้วย เช่น เลียงผา กวางผา ผีเสือสมิงเชียงดาว

หากอยากไปนอนดูดาวที่เปล่งแสงระยิบระยับบนท้องฟ้า ชื่นชมเมฆหมอกที่ล่องลอยอยู่เบื้องหน้าราวกับสวรรค์ ก็สามารถขึ้นไปนอนกางเต้นท์ได้ แต่อาหารการกินต้องนำขึ้นไปเองและทำการจองล่วงหน้าก่อน การที่จะขึ้นไปสัมผัสความงามดอยหลวงเชียงดาวได้ จะมีประกาศกำหนดการให้เที่ยวอยู่ ส่วนมากจะประมาณเดือนพฤศจิกายน – เดือนกุมภาพันธ์ ตั้งแต่เวลา 08.00 – 16.00 น. ค่าธรรมเนียมเข้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสำหรับคนไทย เด็ก 10 บาท ผู้ใหญ่ 20 บาท ส่วนคนต่างชาติ เด็ก 100 บาท ผู้ใหญ่ 200 บาท สามารถติดตามกำหนดการและศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว

5. ยอดเขาโมโกจู

5 ยอดเขาโมโกจู -1

ภาพจาก http://www.amazingthaitour.com

 

5 ยอดเขาโมโกจู -2

ภาพจาก http://www.traave.com

5 ยอดเขาโมโกจู -3

ภาพจาก blog.traveloka.com

ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชร และจังหวัดนครสวรรค์ เห็นชื่อยอดเขาคล้ายภาษาญี่ปุ่นขนาดนี้ จริงๆแล้วเป็นภาษากะเหรี่ยงนะคะ แปลว่า “เหมือนฝนจะตก” เนื่องจากบนยอดเขามีหมอกปกคลุมมาก ยอดเขาโมโกจูเป็นอีกหนึ่งยอดเขาที่นักผจญภัยไม่ควรพลาด เพราะเป็นยอดเขาที่โหดมาก ใช้เวลาเดินเท้าขึ้นสู่ยอดเขาประมาณ 60 กิโลเมตร ใช้เวลาถึง 5 คืน 4 วันเลยทีเดียว และใน 1 ปี เปิดให้ขึ้นไปพิชิตยอดดอยแค่เพียง 4 เดือนเท่านั้น การเดินขึ้นยอดเขาโมโกจูต้องผ่านแคมป์แม่กระสา แคมป์แม่เรวา แคมป์ขอนไม้ แคมป์ตีนดอย ถึงจะถึงยอดเขา นอกจากใช้เวลาเดินทางขึ้นยอดเขาหลายวันแล้ว ทางเดินขึ้นก็โหดเช่นกัน ต้องผ่านทั้งทางลาดชัน น้ำตก ข้ามห้วย ข้ามสะพานต้นไม้ ฉะนั้นต้องฟิตร่างกายตัวเองให้ดีๆก่อนเลย เตรียมพร้อมทั้งกายและใจ แต่รับรองว่าพอขึ้นไปถึงยอดเขา จะไม่ผิดหวังกับการเดินทางแสนหฤโหดนี้แน่นอน เพราะบนยอดเขาโมโกจูนั้นช่างสวยงามราวกับสวรรค์ อากาศเย็นสดชื่นตลอดวัน และภาพโรแมนติกกับพระอาทิตย์ขึ้นลง และเมฆหมอกอันขาวฟุ้งราวกับหิมะ บอกเลยว่าใครที่ชอบเดินป่าแบบโหดๆ ต้องรักที่นี่มากแน่ๆ

ในแต่ละปีทางอุทยานจะกำหนดเวลาเปิด-ปิดแตกต่างกันไป ฉะนั้นควรติดตามเพจของอุทยานไว้จะดีกว่าที่ www.facebook.com/maewong.np ค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานฯ สำหรับคนไทย เด็ก 20 บาท ผู้ใหญ่ 40 บาท ส่วนคนต่างชาติ เด็ก 100 บาท ผู้ใหญ่ 200 บาท